[บันทึกของวิศาล]
ความหลังครั้งวัยเด็ก
ใบยางร่วง ปลิดปลิวจากกิ่งก้านถูกลมพลิกพริ้ว  ร่อนตามแรงร่วงลงสู่ผืนดิน   ฤดูใบไม้ร่วง ของภาคใต้ถิ่นแดนด้ามขวานมาถึงอีกวาระ  เหมือนธรรมดาทุกๆปี  แต่ปีนี้ผิดจากปีอื่นๆตรงที่เหล่าญาติมิตร  เพื่อนฝูงเสียชีวิตเหมือนใบไม้ร่วง  อันเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ความไม่สงบไฟใต้กำลังคุโชน  บนลานวัดมีใบไม้แห้งเพิ่มปริมาณตามฤดูกาลไม่มีคนกวาด  พระเถรเณรชีต่างอพยพหนี"สันกาลาคีรีทั้งลูก เปลี่ยนแปลงไป ปรากฎการณ์ของ สีเหลือง ส้ม แดงเถือกไปทั้งเทือกและสีเขียวก็จะมาพร้อมกับการผลิใบใหม่"ความใหม่สดชื่นของสีเขียวจึงทำให้แม่บ้านหลายๆบ้านหายออกจากหมู่บ้านทิ้งลูกตัวเล็กๆไว้ให้พ่อกับย่าช่วยกันเลี้ยงถึงหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่ตรงนี้  ความร่มเย็นที่เคยมี   ผู้ใหญ่กลับปล่อยให้เด็กเอาไม้ขีดมาเผาบ้านเล่น  ไฟลามไปทั่วทุกหัวระแหงจนดับไม่ทัน  ความร้อนรุ่มสุมอยู่ในกลางใจทุกผู้คน  ต่างคนต่างก็ไม่ไว้ใจกัน  ความเหมือนเดิมหายไปโดยสิ้นเชิง  แต่สิ่งที่ไม่ได้หายไปคือ.... ความทรงจำ แห่งฤดูกาล...ฤดูร้อนมาถึง แสงแดดแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง   ลมพัดมาเพียงแผ่วเบาย่อมไม่อาจปลดปล่อยความร้อนรุ่มในวัยเด็ก   คนที่มีชีวิตที่เกี่ยวพันกับต้นยางพารา ยามผลัดใบ ย่อมรื่นเริง นอกจากจะได้หยุดปิดเทอมยาวแล้ว นั่นก็หมายความว่าฤดูแห่งการท่องเที่ยว  การละเล่นต่างๆมาถึงแล้ว   เด็กรีบนอนแต่หัวค่ำเพื่อว่าพรุ่งนี้จะได้ตื่นมามีแรงเล่นกันตั้งแต่เช้า   และอีกหลายคนเหมือนกันที่นอนไม่หลับ ด้วยความตื่นเต้น เผลอตื่นสายมาพรรคพวกอาจหายไปหมดแล้วในป่ายางมีลำห้วยไหลตัดเส้นฝ่ากลาง  ไหลลงแปลงนาที่ลุ่มท้ายหมู่บ้าน  ข้าวกำลังออกท้องน้ำแห้งขอด เหลือเพียงแอ่งน้ำขุ่นๆ  เด็กๆยิ้มเผล่   วาดฝันจะจับปลาตัวโต  ถึงแม้จะไม่เคยทำได้ก็ตาม  พลางคิดว่าพรุ่งนี้ต้องไปชวนเพื่อนมาช่วยจับปลา”ลูกคลัก”ดีกว่า   โดยวิธีของเด็กที่จับปลาลูกคลัก ในแอ่งเล็กๆภายในบิ้งนาเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเผลอๆอาจได้ปลาดุกปลาช่อนตัวโต  แต่วิธีที่ง่ายนี้ก็ต้องระวังงูเห่าเจ้าถิ่น  ที่มักเลื้อยมาจากป่ายาง  มาหาปลากิน  เจอกันเมื่อไหร่เด็กๆวิ่งกันเกรียวป่าข้าวราบ  เรื่องที่สองที่ต้องระวังนักระวังหนาคือเจ้าของแปลงนา  เพราะพวกเราเวลาจับลูกคลักมักจะเอาเท้าเหยียบต้นข้าวให้ราบเป็นวง  เพื่อจะเอาเท้าวิดน้ำสาดโคลนขึ้นไปบนที่ดอน  และปลามันจะแถกเดกลับลงน้ำเด็กๆก็ต้องรีบแย่งกันจับ  พอสายๆรู้สึกท้องเริ่มหิวสิ่งที่อร่อยที่สุดคือการฉีกท้องข้าว   เอานมข้าวที่กำลังจะแข็งกลายเป็นเม็ดข้าวมากินกัน    คุณยายคุณตาเจ้าของแปลงนาพบเข้าเมื่อไหร่  ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหน้าเขียวเหมือนหน้าแม่เลี้ยง  เด็กคนไหนที่วิ่งไม่ทันก็จะถูกฉวยมือติดและโดนเฆี่ยนจนอ่วม   เฆี่ยนไปด่าไป “ มันเบียน”   “พ่อแม่มันไม่สั่งสอน”  เจ็บตัวนั้นไม่เท่าไหร่เจ็บใจและอายเพื่อนนี่แหละที่เจ็บนัก   พวกเราทำให้คุณตาคุณยายทุเลาความโกรธลงได้ก็คือการยอมรับผิด   “ผมยอมแล้วครับ”..........”ผมผิดครับ”...ที่หลังผมไม่ทำแล้วครับ ..........แต่ในใจนั้นต่างกันสิ้นเชิง.......คิดตามประสาเด็กคือทีหลังจะวิดเสียให้ทั่วทั้งบิ้ง......ถอนต้นเสียให้ราบ.........พอท่านหายโกรธ  ท่านก็มักจะถามว่าลูกบ้านไหน   กินข้าวมาหรือยัง....เราคิดในใจว่าถามทำไมถ้ากินมาแล้วก็ไม่ต้องมาฉีกท้องข้าวยายกิน   แต่คนแก่ก็มีเมตตากับหลาน  เฆี่ยนเสร็จมีอะไรติดชายพกมาพอกินได้ก็จะเอาให้เด็กกินหมด......คนแก่เวลาเดินไปไหนมาไหนผลหมากรากไม้ที่มีอยู่สมบูรณ์ตามชายป่าจะนึกถึงลูกนึกถึงหลานเก็บใส่พกใส่ห่อไปฝาก.....ลูกนมแนวเอย....ลูกขลบเอย....ลูกหว้าเอยลูกนิลเอย      .....นี่แหละความน่ารักของชนบทที่ทุกคนมีเมตตาช่วยกันสั่งช่วยกันสอน    ช่วยกันอบรมบ่มนิสัยและพ่อแม่เด็กก็ไม่มีใครโกรธที่มาเฆี่ยนสอนลูกเมื่อทำผิด   แถมจะเฆี่ยนซ้ำถ้ามารู้ทีหลังว่าไปซนพิเรนมา   ปัญหาสังคมมันเลยไม่มี........เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้เด็กๆมักจะปิดเป็นความลับสุดยอด........แต่ก็ไม่วายพวกที่วิ่งได้ทันมักจะมาแอบดูหน้าสลอนเห็นแต่นัยน์ตาแววๆอยู่ตามกอข้าว..........แล้วเอาเรื่องที่ได้ยินมาล้อกัน.....จนพวกที่ถูกล้อทนไม่ได้ทะเลาะชกต่อยกัน  เรื่องถึงผู้ใหญ่เลยถูกลงโทษเสียคนละหลายกระทง   ว่าด้วยการลงโทษนอกจากการเฆี่ยนแล้ว   การให้ทำงานเพิ่มก่อนไปเล่นก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับพวกเรามาก
            เย็นค่ำแล้ว เด็กบางคนยังไม่ยอมอาบน้ำ คราบโคลนยังเปรอะเปื้อนทั่วร่างกาย ตามง่ามนิ้วเท้า แผ่นหลัง หรือแม้กระทั่งในใบหู ด้วยนิสัยของเด็กอาการคร้านน้ำ      เพียงล้างตัวลวกๆ นับเป็นอาบน้ำได้......ผู้ใหญ่มักจะถามซ้ำอยู่เสมอ.....เอ็งอาบน้ำแล้วยัง.....”อาบอะไรวะตัวเหมือนควายปลัก”....ตอนย่ำค่ำบ้านไหนมีเด็กมักจะได้ยินเสียงทะเลาะกันเรื่องอาบน้ำแทบทุกบ้านและก็จบลงที่เสียงร้องไห้พร้อมอาบน้ำใหม่ไปพร้อมๆกัน   อาบน้ำเสร็จแล้วยังสะอื้นอยู่อีกแต่ก็ต้องเดินขึ้นเรือนไปให้แม่ตรวจดูความเรียบร้อยถึงจะทานข้าวได้   แต่ในสายตาแม่นั้นย่อมไม่พลาด แม่หันไปสบตากับพ่ออย่างรู้ทัน ก็เริ่มมีความรู้สึกว่าไม่ปกติกับเราซะแล้ว เผลอแป๊บเดียวพ่อจับมือเราไว้ถือไว้แน่น.......แม่ให้พี่สาวไปเอาน้ำมันมะพร้าวกับใยพดพร้าวชุบน้ำมันมะพร้าวกับใยพด   ขยี้จนใยพดพร้าวอ่อนนุ่มแล้วขัดขี้ไคล   ไปใหนก็ไม่ได้เพราะโดนพ่อจับไว้แน่น  ร่ำร้องว่าอยากตาย น้ำตาใหลเป็นปี๊บ แต่ไม่เคยตายสักที มันเหมือนกับขาดอิสระภาพ ไม่ใช่เสียดายขี้ไคลในตัวที่อุตส่าห์เก็บหมักหมมไว้กับตัวมานาน  หรือโดนรังแก   แต่จริงๆแล้วเสียใจที่เสียรู้พ่อและเจ็บตรงกกหูเหมือนไข้ลูกหนูต่างหาก....เสียงร่ำไห้เริ่มคลายกลายเป็นเสียงสะอื้นเมื่อแม่บอกว่าจะเพิ่มค่าขนมให้อีกวันพรุ่งนี้ พร้อมให้รีบไปอาบน้ำเป็นรอบที่สามแม่ต้องตักน้ำในบ่อให้อาบมันอุ่นดี   น้ำในตุ่มเริ่มจะเย็นเหมือนน้ำแข็งแล้ว.........น้ำตีหมาแรกที่แม่รดหัวให้มันปวดแสบปวดร้อน นั่นเพราะแม่ขัดหนักไปหน่อย       เช้าอีกวันหลังจากที่ตื่นนอนแล้ว เริ่มรู้สึกเบาตัวอาจจะเป็นเพราะขี้ไคลหายไปเยอะ  แหงนมองไปยังกิ่งยาง ใบยังหลุดร่วงต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด รู้สึกเวิ้งว้างอย่างบอกไม่ถูก กินข้าวเสร็จเพื่อนชวนไปตัดไม้ใผ่เพื่อเอามาทำ"ฉับโผง"เพราะว่าตอนที่เดินผ่านป่ายาง"ลูกพรา"เริ่มเขียวแล้ว กะว่าในตอนเย็นจะแบ่งทีมยิงกันให้มันไปเลย แม่บอกว่าให้ซักชุดนักเรียนเสียก่อน ห้ามสวมใส่ไปเล่นฉับโผง เพราะเวลาใส่ลูกพราจะต้องตีเข้าไปในฉับโผง กลัวยางลูกพราติดเสื้อ ซักเท่าไหร่ก็ไม่ออก ผ่านมาหลายร้อยปีแล้วยังไม่มีใครคิดผงซักฟอกที่ซัก"ลูกพรา"ออกสักที เป็นเรื่องที่แปลกมาก    เคยซื้อเสื้อใหม่สีขาวแม่เตรียมเอาไว้ให้ใส่ไปเที่ยวงานชักพระเอามาใส่เล่นฉับโผงซะก่อนแล้วพาไปซักเอามาพับเก็บไว้  ตอนเอาออกมาใส่ไปเที่ยวงานชักพระเสื้อถูกยางพราลายเหมือนงูกะปะลายพรม  ครั้งแรกนึกไม่ออกว่าโดนอะไรแต่ดูจากร่องรอยแล้วใช่เลย  แผลโดนยิงจากฉับโผง   ตรงกลางทึบ  ด้านข้างกระจายเหมือนรูปฝนใหม่เคาะดิน(ไว้ต่อตอนหน้าเรื่องทำฉับโผง)           
ฉับโผง.........ปืนแห่งพงไพร
                                    ของเล่นที่พอหาได้ของพวกเราก็เกิดจากสิ่งที่หยิบฉวยได้ตามธรรมชาติ                ตามฤดูกาล......ถึงฤดูกาลนี้ลูกพลากำลังออกลูก....ลูกกลมๆ....สีเขียวๆ.....เวลาสุกจะมีสีดำเหมือนขี้แพะ   รสชาติของผลพลาตอนยังไม่สุกมีรสเปรี้ยวอมฝาด   ถ้าสุกจะมีรสหวาน   ผลสีเขียวเด็กๆจะเก็บมาเป็นกระสุนของกระบอกฉับโผงที่พวกเราช่วยกันประดิษฐ์ขึ้น   ก่อนอื่นต้องรวมพวกกันเข้าไปตัดไม้ไผ่กันก่อน    สำหรับไม้ไผ่ที่เราเลือกมาเป็นกระบอกฉับโผง  จะคัดเอาเฉพาะไม้ไผ่ไทยเท่านั้น   ไม้ไผ่ป่า  ไม้ไผ่สีสุก   จะใช้ไม่ได้ไม่ทนและขนาดรูกระบอกก็โตเกินไป   พวกเราเลือกแขนงไม้ไผ่ไทยที่ได้ขนาดเท่าหัวแม่เท้า   ความยาวประมาณสองคืบ  เลือกเอาแขนงที่มีรูเล็กกว่าลูกพลานิดๆ          เพราะเวลาอัดลูกพลาเข้าไปในกระบอกจะได้เกิดแรงดันอากาศ   มันจะไม่มีลมรั่วออกซะก่อน      เมื่อทุกคนเลือกไม้ไผ่ได้ตามต้องการแล้วต้องรีบกลับเพราะยุงชุมเหลือเกิน          ยืนนิ่งๆนานๆไม่ได้ต้องโดนกัดเป็นผื่นทั้งตัวคันเหมือนลิง   บางที่หมั่นไส้เพื่อนคนไหนที่มันชอบล้อเราบ่อยๆ  เห็นยุงกัดเพื่อน   ด้วยความปรารถนาดีแต่ก็คงจะหวังร้ายลึกๆก็ตบเสียสุดแรง  ยุงก็เละคนก็ล้ม   เสียงด่าทอดังขรม    และเมื่อเดินกลับจากป่าไผ่ต่างคนต่างก็นิ่งเงียบ   เดินตามหลังกันเป็นแถว    คงจะคิดวางแบบแปลนปืนฉับโผงของตัวเองให้สวยที่สุด
                            แขนงไม้ไผ่ขนาดความยาวสองคืบจะถูกตัดแบ่งออกเป็นสองส่วน        ส่วนหนึ่งเป็นกระบอกอีกส่วนเป็นด้ามจับ      ส่วนที่เป็นด้ามจะสั้นกว่าส่วนที่เป็นกระบอก    แขนงไผ่ส่วนที่แตกใช้การไม่ได้จะถูกผ่าแบ่งออกเป็นสองสามซีก           ผ่าแล้วก็เอามาเหลาให้กลมเท่ากับรูของกระบอกฉับโผง   ไม้เหลานี้เรียกว่าไม้ดัน    หรือไม้ดะ   เอาไว้ดันลูกพลาที่ใช้เป็นกระสุนเข้าไปในกระบอกฉับโผง    เ  หลาพอกลมได้ที่ก็อัดลงไปในรูด้ามถือให้แน่น   เวลาดันเข้าและชักออมาใส่กระสุนใหม่จะได้ไม่หลุด      เอาไม้ดันมาวัดกับกระบอกฉับโผงอย่าให้ยาวเกินกว่ากระบอกเพราะจะดันกระสุนหลุดออกไปนอกกระบอก  ไม้ดันจะต้องสั้นกว่ากระบอกประมาณข้อนิ้วชี้                ทำเสร็จบางคนก็เอาย่านลิเพารัดเอาไว้ตรงปากกระบอก    และโคนกระบอกเผื่อเอาไว้เล่นได้นานๆไม่แตกง่าย
        ตอนฝึกยิง...........มือขวากำด้ามมือซ้ายกำกระบอก    หันไปในทิศที่ไม่มีเพื่อนยืนขวางอยู่
อัดลูกพลากระสุนลูกแรกเอาด้ามเคาะเข้าไปก่อน......จับด้ามเอาไม้ดันดันกระสุนให้ไปติดอยู่ที่ปลายกระบอกก่อนหนึ่งนัด    แล้วอัดเพิ่มอีกหนึ่งนัดไม่ต้องรีบ...........เข้าที่......ระวัง........ยิง...เสียงดัง.....ปัง.....แพล็ด...............ของคนที่ดัง  ปัง  ก็จะหัวเราะอย่างร่าเริง    ของคนที่ดังแพล็ด...ยิ้มอย่างเขินๆ           เพื่อนๆบอกว่ากระสุนมันเล็ก   ลมรั่วไม่เกิดแรงดันอากาศ      เมื่อทุกอย่างพร้อม   เด็กๆจะถูกแบ่งออกเป็นสองพวกด้วยวิธีการหยิบไม้สั้นไม้ยาว         เพื่อความยุติธรรมในการเล่น   และมาจับไม้สั้นไม้ยาวหนสองเพื่ออ้างความยุติธรรมอีกเพราะต่างคนต่างอิดออดไม่ยอมเป็นพวกโจร........พวกโจรในหนังกลางแปลงที่มาฉายขายยาในวัด    พอตำรวจมาจะแพ้ตำรวจทุกที   หนังขายยาถึงตอนจบก็จะเห็นตำรวจมา  คนเฒ่าคนแก่ก็จะรีบเก็บเสื่อเก็บของไม่อย่างนั้นหนังจบก่อนมันจะมืดเก็บไม่เห็น    พวกเราเด็กๆเลยต้องการเล่นเป็นตำรวจกันทั้งนั้นเพราะเป็นเพื่อนพระเอก   ไม่เหมือนโจรที่ต้องเป็นเพื่อนตัวโกง   คราวนี้ใครจับได้ไม้สั้นก็มาอ้างไม่ได้อีกแล้วว่าไม่อยากเป็นโจรเพราะเพื่อนๆจะไล่กลับบ้านไม่ให้เล่นอีก           ไม้ยาวมันก็มีโกงเหมือนกันเพราะคนถือเป็นคนหยิบสุดท้าย        มันเล่นกำเอาไว้จนเพื่อนมองไม่เห็นปลายไม้               เสียงโต้เถียงดังอึกทึกเมื่อมีการโกงเกิดขึ้น    บางครั้งต้องหักไม้มาจับกันหลายรอบ         เมื่อจัดพวกกันแล้วไม่มีข้อโต้เถียง   เสียงไล่ยิงกันดังสนั่นป่ายาง  
          ใกล้เพลทุกอย่างก็เริ่มยุติท้องเริ่มหิว      ทุกคนมารวมพลกันสำรวจร่องรอยการถูกยิงพร้อมเล่าตอนที่ตัวเองตื่นเต้น   ทั้งๆที่เล่นด้วยกันแต่ก็เอามาโม้กันใหม่อย่างเมามันเหมือนคนเพิ่งพบกัน     บางคนรอยถูกยิงขึ้นเป็นผื่นแดง      บางคนมีรอยคราบน้ำตาน้ำมูกที่เช็ดกับมือเป็นคราบอยู่ข้างแก้มบ่นพึมพำว่า        จะไปฟ้องพ่อว่ามึงยิงเฉียดตากู           ทั้งๆ ที่ชันชีกันเอาไว้แล้วว่าห้ามยิงตรงส่วนใบหน้า          ชันชี       ของเด็กๆก็คือข้อตกลงกติกาที่สัญญากันเอาไว้ก่อนเล่น   เสียงระฆังฉันเพลดังแว่วมาแต่ไกลทุกสิ่งที่โกรธกันก็ลืมกันหมด.........    ต่างคนต่างก็วิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อให้ถึงจุดหมายก่อนเพื่อน........ได้ยินไอ้ตัวเล็กตะโกนไล่หลังมาว่า   ”อย่าแล่นทอดกันแหละ” การแล่นทอดก็คือการวิ่งทอดทิ้งเพื่อเอาไว้คนเดียวในสถานที่ ที่ดูว่าเปลี่ยว และน่ากลัวก็ยังงั้นแหละ                  
จะเล่าเรื่องหลวงตาติ่ง   หลวงตาผู้มีเมตตาให้ฟังแต่ก็ตื่นเต้นเมื่อคุณพ่อบอกว่าคุณย่ามารับผมไปสงขลาสี่ห้าวันช่วงปิดเทอม 
           คุณย่านุ่งผ้าโจงกระเบนใส่เสื้อสีขาว  คุณย่ารูปร่างผอมสูงเหมือนฝรั่งนัยน์ตาคม  ผมหยิกแต่ผิวคล้ำ  คุณย่ามาจากสงขลาด้วยรถไฟและจะรับผมกลับด้วยรถไฟ  ผมตื่นเต้นมากๆเพราะอายุเจ็ดขวบแล้ว     ยังไม่ได้ขี่รถไฟเลยทั้งคืนผมนอนไม่หลับ     คิดถึงเรื่องรถไฟ   คิดถึงต้องทิ้งเพื่อนไปอีกหลายวันซึ่งเรามีของเล่นที่เรายังไม่ได้เล่นอีกหลายอย่าง   ต้องเล่นให้ได้ก่อนเปิดเทอมแต่ก็ตื่นเต้นกับเมืองสงขลาที่คุณย่ามีนิทานเล่าให้ผมฟังหลายๆเรื่อง  เรื่อง หัวนายแรง  และเรื่องเกาะหนูเกาะแมว  เรื่องทะเลสาบ  รู้สึกว่าเมืองสงขลามีอะไรที่มากมายจนเด็กๆอย่างผมจินตนาการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 
นิทานเรื่องเกาะหนูเกาะแมวคุณย่าเล่าให้ฟังว่า
            นานมาแล้วมีพ่อค้าจีนคนหนึ่งคุมเรือสำเภาจากเมืองจีนมาค้าขายที่เมืองสงขลาเมื่อขายสินค้าหมดแล้วจะซื้อสินค้าจากสงขลากลับไปเมืองจีนเป็นประจำ วันหนึ่งขณะที่เดินซื้อสินค้าอยู่นั้น พ่อค้าได้เห็นหมากับแมวคู่หนึ่งมีรูปร่างหน้าตาน่าเอ็นดู จึงขอซื้อพาลงเรือไปด้วย หมากับแมวเมื่ออยู่ในเรือนาน ๆ ก็เกิดความเบื่อหน่ายและอยากจะกลับไปอยู่บ้านที่สงขลา จึงปรึกษาหาวิธีการที่จะกลับบ้าน หมาได้บอกกับแมวว่าพ่อค้ามีดวงแก้ววิเศษที่ใครเกาะแล้วจะไม่จมน้ำ แมวจึงคิดที่จะได้แก้ววิเศษนั้นมาครอบครองจึงไปข่มขู่หนูให้ขโมยให้และอนุญาตให้หนูหนีขึ้นฝั่งไปด้วย ครั้นเรือกลับมาที่สงขลาอีกครั้งหนึ่ง    หนูก็เข้าไปลอบเข้าไปลักดวงแก้ววิเศษของพ่อค้าโดยอมไว้ในปาก แล้วทั้งสาม     ได้แก่ หมา แมว และหนู หนีลงจากเรือว่ายน้ำจะไปขึ้นฝั่งที่หน้าเมืองสงขลา           ขณะที่ว่ายน้ำมาด้วยกัน หนูซึ่งว่ายน้ำนำหน้ามาก่อนก็นึกขึ้นได้ว่าดวงแก้วที่ตนอมไว้ในปากนั้นมีค่ามหาศาล   เมื่อถึงฝั่งหมากับแมวคงแย่งเอาไป จึงคิดที่จะหนีหมากับแมวขึ้นฝั่งไปตามลำพัง       ดวงแก้วจะได้เป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียวตลอดไป    แต่แมวที่ว่ายตามหลังมาก็คิดจะได้ดวงแก้วไว้ครอบครองเช่นกัน จึงว่ายน้ำตรงรี่เข้าไปหาหนู  ฝ่ายหนูเห็นแมวตรงเข้ามาก็ตกใจกลัวแมวจะตะปบจึงว่ายหนีสุดแรงและไม่ทันระวังตัวดวงแก้ววิเศษที่อมไว้ในปากก็ตกลงจมหายไปในทะเล    เมื่อดวงแก้ววิเศษจมน้ำไปทั้งหนูและแมวต่างหมดแรงไม่อาจว่ายน้ำต่อไปได้ สัตว์ทั้งสองจึงจมน้ำตายกลายเป็น "เกาะหนูเกาะแมว" อยู่ที่อ่าวหน้าเมืองสงขลา ส่วนหมาก็ตะเกียกตะกายว่ายน้ำไปจนถึงฝั่ง แต่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจึงขาดใจตายกลายเป็นหินเรียกว่า "เขาตังกวน" เป็นภูเขาตั้งอยู่ริมอ่าวสงขลา ส่วนดวงแก้ววิเศษที่หล่นจากปากหนูก็แตกแหลกละเอียดเป็นหาดทราย เรียกสถานที่นี้ว่า "หาดทรายแก้ว"   ตั้งอยู่ทางเหนือของอ่าว      เมื่อนิทานจบคุณย่าจะแถมขับเรื่องพระอภัยมณีเป็นบทกลอนเพราะๆให้ฟังจนผมหลับ
             ก่อนนอนทุกคืนคุณย่าจะเล่านิทานเรื่องนี้ให้ผมฟังจนหลับทุกคืนและผมก็ไม่เคยเบื่อเมื่อคุณย่าเล่าให้ฟังเป็นรอบที่เท่าไหร่นับไม่ได้
       เช้านี้คุณแม่ปลุกให้ลุกขึ้นจากที่นอนตั้งแต่นกบินหลาเริ่มคุยกันเพื่อจะไปให้ทันรถไฟ   ซึ่งคุณย่าเรียกว่ารถพัทลุง  คุณย่าซ้อนท้ายรถจักรยานของคุณพ่อ    ผมนั่งเฉียงๆบนคานรถจักรยานกว่าจะถึงสถานีรถไฟโคกโพธิ์          คงมีอาการเจ็บก้นมากๆ             เพราะตรงที่คานไม่มีอะไรรองก้นเลย  อาศัยการขยับเมื่อเวลาเมื่อย               พอถึงสถานีรถไฟคุณพ่อไปซื้อตั๋วตรงช่องที่มีพนักงานนั่งอยู่         ตั๋วจะเป็นกระดาษแข็งสี่เหลี่ยมเล็กๆสีหมากสุก               สถานีโคกโพธิ์ถึงสถานีหาดใหญ่ราคาค่าโดยสารสองบาทห้าสิบสตางค์  ผมตัวเล็กไม่ต้องเสียค่าโดยสาร        คุณย่าจะต้องไปลงที่สถานีรถไฟหาดใหญ่เพื่อจะต่อรถไฟอีกขบวนไปลงที่สงขลา       ผมเข้าใจเลยว่าที่คุณย่าเรียกรถพัทลุงเพราะจุดหมายปลายทางของรถไฟอยู่ที่จังหวัดพัทลุง              เพราะอีกขบวนนึง  ที่จุดหมายปลายทางอยู่ที่สถานีรถไฟสงขลาคุณย่าจะเรียกรถสงขลา                 คุณแม่ไม่ให้ผมใส่เสื้อตัวใหม่  แต่จะเก็บเอาไว้ที่ห่อผ้าของคุณย่า            แม่บอกว่าเดี๋ยวเสื้อตัวใหม่จะโดนสะเก็ดไฟจากไม้ฟืนหัวรถจักรเป็นรูหมด  คุณแม่ยังห้ามอีกหลายอย่างตามความซนของผม       ห้ามชะโงกออกไปนอกหน้าต่างเดี๋ยวสะพานรถไฟมันจะตีเอา       ห้ามจับโน่นจับนี่จนผมจำไม่หมด         เสียงหวูดรถไฟก่อนเข้าเทียบสถานีดังมาแต่ไกลหันไปดูเห็นควันไฟสีดำ  ผสมกับไอน้ำมองเหมือนกับก้อนเมฆลอยลงมาเรี่ยติดดิน   เสียงล้อบดรางดังอึกทึก   ผมเดินถอนหลังอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวจนคุณพ่อต้องรั้งมือเอาไว้    คนแต่งชุดสีกากี    ยืนถือธงแดงธงเขียวไว้ในมือพอรถไฟเข้ามาใกล้ถึงสถานีก็ยกธงแดงรถก็ค่อยๆชะลอลงเรื่อยๆ   เมื่อรถจอดสนิทคุณพ่อก็ส่งผมขึ้นรถไฟพร้อมคุณย่า           คุณย่าจูงมือผมหาที่นั่ง   ได้ที่นั่งแล้วความตื่นเต้นของผมก็พอคลายลงไปบ้าง
                ที่นั่งบนรถไฟเป็นเก้าอี้ไม้หันหน้าเข้าหากัน    เก้าอี้ตัวที่หันหน้าไปทางหัวขบวนมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว    “ตนมาแต่ไหน”     เสียงคุณย่าถามสมาชิกที่นั่งอยู่ก่อน   ได้ความว่าเดินทางมาจากต้นทางสถานีรถไฟยะลา     จะกลับไปเยี่ยมบรรพบุรุษที่จังหวัดพัทลุงมารับราชการอยู่ที่ยะลานานแล้วหลายปียังไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้าน      เสียงคุณย่าคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่พักหนึ่ง   ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเพราะมัวแต่สนใจบรรยากาศข้างทางที่ผ่านป่ายางสลับกับทุ่งนา   จนรถไฟชะลอช้าลง   คุณย่าบอกถึงสถานีรถไฟเทพาแล้ว    ก่อนรถไฟจะหยุด   คุณย่าแกะผ้าเช็ดหน้าออกและหยิบเงินใบละบาทออกมาสองใบ   คุณย่าบอกจะซื้อข้าวแกง   กินมื้อกลางวัน   พอรถไฟจอดสนิทคุณย่าชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างสั่งซื้อข้าวแกงไก่และไก่ทอด   แม่ค้าตักข้าวใส่กระทงราดน้ำแกงแถมด้วยไก่ทอดกระทงละชิ้น        ท่าทางแม่ค้าคล่องแคล่วว่องไว   ข้าวและแกงไม่มีหกเลอะเทอะเลย   เมื่อรถไฟเคลื่อนขบวนออกจากสถานีคุณย่ายื่นกระทงข้าวแกงให้ผม   “กินข้าวซะก่อนเดี๋ยวจะหิว   อีกนานกว่าจะถึงสงขลา”  คุณย่าบอก      แต่ผมไม่ค่อยสนใจกับอาหารมื้อเที่ยงนี้เท่าไรเพราะตื่นเต้นกับบรรยากาศสองข้างทาง   เมื่อรถไฟเลี้ยวทางโค้ง     มองออกไปข้างนอกหน้าต่างขบวนรถไฟเห็นอีกาบินตามขบวนรถเป็นแถว   ยังนึกสงสัยอยู่เลยว่าอีกาจะไปไหน    ครู่หนึ่ง   ก็หายสงสัยเมื่อเห็นผู้คนโยนกระทงข้าวพร้อมกระดูกไก่ออกนอกหน้าต่าง    อีกานี่ช่างฉลาดหากิน  สามารถพึ่งเศษอาหารที่เหลือจากขบวนรถไฟ............     บ่ายแก่ๆถึงสถานีรถไฟสงขลา   รถไฟจากหาดใหญ่ไปสงขลาขบวนสั้นกว่าไปพัทลุง   มีเพียงสองตู้เท่านั้นที่หัวรถจักรลากไปและเวลาวิ่งก็วิ่งช้าๆรับคนจากสถานีเล็กๆไปตลอดทาง”
บ้านคุณย่าเป็นบ้านทรงไทยหลังเล็กๆสองหลังปลูกไว้ติดกันมีชานนอกที่ไม่มีหลังคาเชื่อมต่อกันอยู่ติดรั้ววัดโพธิ์ทางด้านหลัง   ถ้าจะมาจากทางด้านหน้าวัดโพธิ์ก็ต้องเข้าทางประตูวัดและไต่บันไดข้ามรั้ววัดไปลงตรงบันไดอีกด้านก็จะถึงบ้านคุณย่า    บ้านของคุณย่ามีบ้านหลานๆล้อมรอบอยู่เป็นวงกลม   เลยบ้านวงศาคณาญาติออกไปก็จะทะลุถนน    ถ้าข้ามถนนออกไปก็จะถึงโรงเรียนอาชีวะเป็นโรงเรียนที่มีผู้หญิงมาเรียนกันเต็ม  คนบ้านผมถ้าวัยขนาดนี้คงไม่ต้องมาเรียนหนังสือกัน   น่าจะมีสามีมีลูกสามสี่คนแล้ว    คนที่นี่เขาขยันเรียนหนังสือกันจัง  ในใจผมคิด
    บรรยากาศยามบ่าย   ลมเย็นพัดผ่านต้องผิวกายจนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของทะเล    คุณย่าบอกว่าเดินจนไปสุดถนนก็จะถึงทะเล    ผมมองจนสุดตาก็ยังไม่เห็นทะเล   แต่ความรู้สึกรับรู้ได้จากลมเย็นที่พัดผ่านมา   ว่ามันคงจะผ่านน้ำมาก่อน   มันแตกต่างจากที่บ้านผมลมที่พัดผ่านท้องทุ่งมาก่อน     กลิ่นของรวงข้าวกับกลิ่นของทะเลมันต่างกัน   ได้ยินเสียงย่าเรียก “อ้ายลุ่น”    “อ้ายลุ่น”   อยู่พักใหญ่    ก็ไม่มีใครขานตอบ.....ย่าจึงเดินไปที่บ้านอีกหลังและสั่งพ่อของอ้ายลุ่นเอาไว้ว่า    พรุ่งนี้เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น     ให้อ้ายลุ่นปั่นสามล้อพาหลานไปเที่ยวชายทะเลด้วย   อย่าลืมบอกนะ   ย่ายังสำทับเอาไว้อีกครั้ง   “ผมไม่ลืมครับยายเหี้ยง”   เสียงพ่ออ้ายลุ่นตกปากรับคำ     ทำไมคนปั่นสามล้อจึงชื่อแปลกๆ   ผมถามตัวเอง        เพราะที่บ้านผมคนปั่นสามล้อชื่อก็แปลก   ชื่อ     “นายโฮ้ย”    นายอำเภอเคยย้ำถามว่า    คนที่ปั่นสามล้อรับจ้างประจำสถานีรถไฟโคกโพธิ์  ชื่ออะไร....  ชื่อโฮ้ยครับ    คนอะไรชื่อโฮ้ย   นายอำเภอเรียกเสียงหัวเราะจากชาวบ้านได้   ตอนที่พาหมออนามัยมาฉีดวัคซีนชาวบ้าน    
                   บรรยากาศใกล้ค่ำของสงขลาไม่ได้ช่วยให้การจากบ้านเป็นครั้งแรกของผมดีขึ้นเลย   กลับกลายเป็นความรู้สึกเหงาๆเศร้าสร้อยบอกไม่ถูก  ทั้งๆที่ตื่นเต้นกับไฟฟ้าที่สว่างไสวเป็นแนวไปตามท้องถนนซึ่งบ้านเราไม่มี   มีแต่เพียงแสงตะเกียงริบหรี่มาจากบ้านใกล้เรือนเคียงคุณย่าเล่านิทานเรื่องพระอภัยมณีให้ฟัง   ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเริ่มจากตอนไหน   เพราะคุณย่าจำตอนไหนได้ก็เอามาเล่า   คืนนี้พอจับใจความได้ว่า    ตอนห้ามทับเข้าตีเมืองลงกา   เมื่อถึงตอนที่ไพเราะคุณย่าก็ขับเป็นบทเพลงให้ผมฟังว่า      
“วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น                            คนขยั้นยืนขึงตะลึงหลง
ให้หวิววาบซาบทรวงลงง่วงงง                                           ลืมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต                                      ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง                                         อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย”
          “วิเวกแว่วแจ้วเสียงสำเนียงปี่                                   พวกโยธีทิ้งทวนชนวนเขนง
ลงนั่งโยกโงกหงับทับกันเอง                                                เสนาะเพลงเพลินหลับระงับไป
จังหรีดหริ่งสิงห์สัตว์สงัดเงียบ                                             เย็นระเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
น้ำค้าพรมลมสงัดไม่กวัดไกว                                              ทั้งเพลิงไฟโซมซาบไม่วาบวู”
คุณย่าขับขานกลับไปมาหลายเที่ยว   ผมพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาฝาเรือน  สะอื้นงักๆจนเคลิ้มหลับ    มาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเหมือนใครลากของหนักอยู่ใต้ถุนบ้าน.........(ตอนหน้าเล่าต่อ) 
........สงสัยอยู่ว่าเป็นเสียงอะไรแต่ก็ไม่ได้ถามใครเพราะต้องรีบกุลีกุจอ   ล้างหน้าแปรงฟัน  น้ำก็ยังไม่ได้อาบรีบแต่งตัว   ไปกับคณะสามล้อที่รอกันอยู่หน้าบ้าน  สามล้อพ่วงข้างมีเก้าอี้หวายต่อเป็นระเบียงมาทางล้อพ่วงด่านซ้าย  มีพื้นที่ขนาดผู้ใหญ่นั่งได้สองคน  มีเบาะนุ่นปูเป็นพื้นนั่งสำหรับกันเจ็บก้น  ด้านหลังคนปั่นมีที่นั่งเสริมอีกหนึ่งที่สำหรับเด็กพอนั่งได้  ส่วนที่ใช้บรรทุกของจะใช้ด้านหลังเบาะที่ลดระดับต่ำลงมาอีกหน่อยเกือบถึงดิน  สามล้อบางคันจะมีร่มกระดาษสำหรับให้ผู้โดยสารกางหลบแดดเหน็บไว้ด้านหลังเบาะ  ตรงไฟหน้าของจักรยานที่นำมาประกอบเป็นสามล้อจะมีรูปหล่อโลหะเป็นรูปคนกำลังวิ่งทะยานไปข้างหน้าเป็นตราสัญลักษณ์ของยี่ห้อจักรยาน ผมขอปั่นบ้างเพราะที่ปัตตานีก็มีสามล้อแบบนี้เหมือนกันแต่ไม่เคยได้ปั่น  คิดว่าคงจะไม่ยากเพราะมีตั้งสามล้อ สองล้อคงจะปั่นยากกว่าแต่พอเอาเข้าจริง  มันดันเลี้ยวซ้ายตลอดแถมมีทีท่าจะคว่ำเอาเสียง่าย ๆ  น้าลุ่นบอกว่าถ้าปั่นไม่เป็นมันจะครอบเอาคนปั่นไปไว้ใต้รถ   ไม่อยากอยู่ใต้รถเลยนั่งสบายๆดีกว่า  มาถึงสมิหลาตรงนางเงือกอาทิตย์เริ่มทอแสงทะเลเงียบสงบ     น้ำทะเลมองเห็นรางๆเหมือนแผ่นกระจก    มองไปที่ทะเลตรงเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกพระอาทิตย์ดวงโตกำลังแลบแสงขึ้นมาจากทะเล   ช่างสวยงามเหลือเกิน    เหมือนหัวแหวน    สีแสดเปล่งแสงวาว   นับหนึ่งยังไม่ถึงสามร้อยพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาทั้งดวง  ไม่กล้าเพ่งมองอีกแล้วเพราะไม่สามารถทานแสงมันได้ วิ่งเล่นอยู่ชายหาดพักนึงก็ต้องรีบขึ้นมาเพราะถึงคิววัวชนมาออกกำลังกาย   ไม่กล้าเดินสวนกับมันเพราะท่าทางมันดูคึกคะนอง  เคยมีคนเลี้ยงที่ไม่ระวังตัวโดนวัวที่ตัวเองเลี้ยงขวิดจนไส้ไหลมาแล้ว   พออาทิตย์ขึ้นสูงก็กลับถึงบ้านคุณย่าแต่ก็ยังสงสัยเรื่องเมื่อคืนอยู่   ถามย่าว่าเสียงอะไรดังเมื่อตอนใกล้รุ่ง   ย่าบอกว่าเสียงบริษัทเจ๊กเก็บขี้มาถ่ายเอาอุจาระไปแล้วเปลี่ยนถังส้วมซึ่งเป็นถังไม้ให้ใหม่   ผมคิดถึงบ้านเราเวลาถ่ายที่ชายป่าแล้วต้องเอาจอบไปกลบเอง   กับที่ในเมืองนี้ถ่ายแล้วไม่ต้องกลบ   ผมเคยร้องเพลงที่คุณพ่อสอนพอจำได้ว่า  ขี้แล้วโดดคือกบ  ขี้แล้วกลบคือแมว   ขี้แล้วแจวคือหมา   หรือชาวสงขลาจะขี้แล้วแจว   แต่พ่อก็เป็นชาวสงขลาคงจะไม่ร้องเพลงด่าบ้านตัวเอง
            ย่ากลับมาส่งผมที่ปัตตานีเพราะโรงเรียนใกล้จะเปิดแล้ว     ผมเรียนที่โรงเรียนเอกชนภายในตัวอำเภอ    เมื่อก่อนเรียกว่าโรงเรียนราษฎร์       ส่วนเด็กลูกชาวบ้านโดยทั่วไปจะเข้าเรียนโรงเรียนหลวงซึ่งเรียกว่าโรงเรียนประชาบาล  หรือโรงเรียนวัด   โรงเรียนที่ผมเรียนมีตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมเจ็ด   ผมไปเข้าเรียนเมื่ออายุเจ็ดขวบ   ไม่ต้องเรียนชั้นอนุบาล   เข้าเรียนชั้นประถมหนึ่งเลยเรียนอยู่สองปีได้เลื่อนชั้นไปอยู่ประถมปีที่สี่  สองปีผมเรียนสี่ชั้น  เพราะว่าคุณพ่อสอนอ่าน  เขียน  คัด  และคิดเลขให้ผมตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนเข้าไปเรียนได้สองปีผมมีความรู้เทียบเท่าชั้นประถมสี่แล้วครูบอกให้พาสชั้นได้เลย  ตอนเด็กๆไม่เข้าใจว่าพาสชั้นคืออะไร  รู้แต่ว่าผมมีเพื่อนซึ่งสามารถเรียกอ้ายโน่น   อ้ายนี่ได้ตั้งแต่ประถมหนึ่งถึงสี่    วิ่งเข้าวิ่งออกไปเล่นกับเพื่อนได้ทั้งสี่ชั้น   วันที่ผมซึ้งใจที่สุดคือวันที่เพื่อนๆซึ่งเรียนอยู่โรงเรียนวัดหนีเรียนเดินลัดทุ่งข้ามคลองมาเยี่ยมผมถึงโรงเรียน   ระยะทางที่เดินมาหลายกิโล  สาเหตุเพราะกลับมาจากสงขลาแล้วผมไม่มีโอกาสได้ออกไปเล่นกับเพื่อนๆหลายวันแล้ว   เพื่อนๆมายืนเกาะรั้วโรงเรียนหน้าสลอน    มีนักเรียนที่วิ่งเล่นอยู่ในสนามหน้าโรงเรียนมาบอกว่ามีเพื่อมารออยู่หน้าโรงเรียน   ผมรู้สึกเป็นงงว่าเพื่อนที่ไหนกันถึงได้มาเยี่ยม   เมื่อออกไปดูรู้สึกสงสารเพื่อนที่บ้างก็เปียกน้ำมอมแมมเสื้อไม่ใส่ยืนเกาะรั้วโรงเรียนรอพบผมอยู่   ด้วยเพราะความคิดถึงจึงมาเยี่ยม   เราทักทายคุยกันอยู่หลายคำต่างคนต่างแย่งกันพูดพอจับใจความได้ว่านัดหมายกันวันเสาร์ให้ผมเอาฟุตบอลหนังที่ซื้อมาใหม่จากสงขลาไปเตะกันที่วัด  ผมตกลงและล้วงกระเป๋ากำลูกอมที่ซื้อไว้ตั้งแต่พักกลางวันยื่นให้เพื่อน  คนโตรับเอาไปและลาจากกันบอกว่าต้องเดินกลับอีกไกลกลัวจะมืดคำ    และถ้าฝนตกที่สันกาลาคีรีน้ำในคลองจะต้องสูงขึ้นกลัวว่าจะข้ามไม่ได้  ผมได้แต่ยืนมองตามหลังจนเพื่อนลับหายจากไป    กลับมานั่งเรียนวิชาอ่านไทย  ออกเสียงตามเพื่อนไปตลอดไม่มีกระจิตกระใจมองที่ตัวหนังสือเลย  ก่อนเลิกเรียนท่องอาขยาน  “เจ้านกน้อยน่ารักร้องทักว่าไปไหนมาหนูเล็กเด็กทั้งหลาย”   จนถึงท่องสูตรคูณเสร็จ   สวดมนตร์ไหว้พระเสร็จแล้วไปเข้าแถวยืนรอรถโรงเรียนส่งกลับบ้าน   รถโรงเรียนยี่ห้อโตโยเปต   เป็นรถกระบะไม้  ที่นั่งไม้สองข้างนั่งหันหน้าเข้าหากัน  มีที่นั่งเสริมแถวกลางอีกหนึ่งแถวสำหรับเด็กตัวเล็กๆ  มีบันไดขึ้นจากทางด้านหลัง   และจะมีครูคอยคุมอยู่ที่นั่งท้ายสุดเพราะกลัวพวกเด็กซนจะหลุดออกมานอกรถ  รถวิ่งช้าๆเพราะสภาพเก่ามากแล้ว   ถ้าคนขับเหยียบคันเร่งมากควันจะออกมาดำและเครื่องจะสำลักน้ำมัน  เด็กๆจะคอยส่งเสียงเชียร์เวลารถขึ้นเนินเพราะเหมือนคนแก่เดินต้องเอาใจช่วย   รถมาส่งตามจุดรับส่งนักเรียน   จุดที่ผมลงรถคือที่วัดเพราะครูมาส่งแล้วไม่ต้องคอยให้พ่อแม่เด็กมารับ  ลงรถโรงเรียนแล้วถอดเสื้อเก็บกระเป๋าไว้ที่โคนต้นจำปาอาศัยเล่นในวัดก่อนที่คุณพ่อกลับจากงานจะมารับ  อันดับแรกต้องไปที่กุฎิหลวงตาก่อน    ไปดูว่ามีผลไม้  ขนมอะไรบ้างที่เหลือและหลวงตาเก็บไว้ให้ทาน   กินพอมีแรงเล่นก็หาเรื่องเล่นสารพัด  บางทีหลวงตาเฆี่ยนเอาก็มีเพราะไปฉีกจีวรพระฟั่นเชือกลูกข่างบ้าง  ทำหางว่าวบ้าง  สามเณรไล่เตะเอาก็มีเพราะชอบไปแหย่  และล้อเล่น  มีสามเณรรูปหนึ่งชื่อสามเณรยวนเป็นเด็กจากบ้านป่ามาบวช  พวกเราแต่งกลอนแล้วไปตะโกนล้อเรียกชื่อ  “เณรญวนกวนขี้”  “เณรยวนกวนขี้”  สาเหตุเพราะเอาทุเรียนวัดไปกวน     กวนทุเรียนแล้วไม่ยอมแบ่งให้พวกเด็กๆกิน  สามเณรไล่เตะพวกเด็กไม่กลัวเพราะเณรวิ่งช้ากลัวสบงหลุด  ถ้าวิ่งไล่ใกล้ๆจะทันพวกเราก็วิ่งออกนอกวัด  เณรไม่กล้าไล่ตามเพราะยังไม่ได้ห่มจีวรออกนอกวัดไม่ได้   เณรจะด่าก็ไม่ได้เพราะเด็กๆตะโกนว่า  “เณรบาปหนาถ้าด่าเด็ก”  “เณรบาปหนาถ้าด่าเด็ก”   หลวงตาบอกว่าพวกเราซนมากๆ  มันเข้าวัดเมื่อไหร่หมาเห่ากันทั้งวัด   แต่หลวงตาก็รักเอ็นดูพวกเราทุกคน   ถ้าใครหายไปหลายวันหลวงตาจะถามหาอยู่ตลอดไม่สบายเป็นไข้หลวงตาทราบก็จะไปเยี่ยมถึงบ้าน  เราทุกคนรักหลวงตา  หลวงตาสั่งสอนอะไรเราจะฟังอย่างตั้งใจ  ใช้งานอะไรเหนื่อยแสนเหนื่อยก็จะช่วยทำให้หลวงตา
                 ถึงเดือนหกเดือนเจ็ดพ่อแม่ผู้ปกครองนำลูกหลานมาฝากหลวงตาเพื่ออยู่เป็นโยมหน้าบวช เตรียมตัวบวช   เพื่อจะได้อยู่เข้าพรรษาเมื่อเดือนแปด    ในวัดก็คึกคักมีชีวิตชีวา   สมาชิกใหม่เข้ามาร่วมชายคาวัดกันมากขึ้นหลวงตาก็ดูสดชื่นขึ้น    เดิมวัดมีพระอยู่ไม่กี่รูป  กุฎิที่เคยร้างกลับดูสะอาดขึ้นจากสมาชิกใหม่เข้ามาทำความสะอาดตกแต่งเพื่อจะใช้เป็นที่พำนักในช่วงจำพรรษา   คนที่กำหนดวันบวชได้แล้วก็จัดงานเชิญญาติมิตรแขกเหรื่อ  มีมหรสพมาแสดงให้ดู  ทั้งหนังตะลุง  มโนราห์  เพลงบอก   ตามแต่ฐานะของเจ้าภาพ   พวกเราเด็กๆตื่นเต้นกันใหญ่  ถ้าตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ไม่ต้องไปโรงเรียนเราจะดูหนังตะลุงจนรุ่งเช้า   อาศัยกินนอนอยู่ในวัด   การเตรียมตัวของพวกเด็กเมื่อมีงานบวชและมีการรับมหรสพมาแสดง   เด็กๆต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างน้อยห้าวันในการที่จะหาเรื่องเล่นกันเบื่อ  อันดับแรกคือการแบ่งพวกเล่นก่อนที่มหรสพจะแสดง   เพราะหนังตะลุงจะเล่นตอนดึก   พวกเด็กๆจะต้องแบ่งกลุ่มเล่นเอาไว้ล่วงหน้า   กำหนดวิธีเล่นเอาไว้ล่วงหน้าจะได้ไม่เสียเวลา   และจะไม่ง่วงนอนซะก่อนได้ดูหนังตะลุง   วิธีเล่นส่วนมากจะเป็นการวิ่งออกกำลังเพราะจะทำให้ร่างกายตื่นตัว  ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ง่วง   การวิ่งไล่จับใส่วง  เป็นวิธีเล่นที่พวกเด็กชอบกันมากๆ   จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม   กลุ่มจับมาใส่เอาไว้ในวง  กับกลุ่มหนี   ข้อตกลงจะกำหนดพื้นที่ขอบเขตของการเล่นจะต้องไม่หนีออกนอกพื้นที่ตามที่กติกากำหนด  ทุกคนเคารพกติกาถึงแม้นไม่มีใครเห็นแต่ทุกคนจะไม่ออกไปนอกเขต   หรืออาจจะกลัวผีหลอกก็เป็นได้  เพราะมีกฎลงโทษอยู่ว่าถ้าใครออกนอกเขตให้ผีไล่ตาม   ทุกคนกลัวจึงไม่มีใครกล้าผืน  การแบ่งกลุ่มเอาไว้ล่วงหน้านี่ก็เป็นข้อสำคัญเพราะก่อนถึงวันงานก็จะมีการคุยเกทับกันถึงการได้อยู่กลุ่มใคร  ใครเป็นหัวหน้ากลุ่ม  หัวหน้ากลุ่มจะพาลูกทีมรอดไม่รอดจะเป็นที่โจษขานกันในหมู่เด็ก   พวกที่เหลือยังไม่ได้เข้ากลุ่มมี
  โอกาสที่จะตัดสินใจเลือกที่จะไปอยู่กับใครตามที่ตนเองศรัทธา   เรื่องที่สองที่ต้องมีการเตรียมเอาไว้คือเรื่องการกิน  มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กๆ    ของกินมื้ออิ่มย่อมได้มาจากเจ้าภาพ     แต่ข้อสำคัญผู้กล้าที่จะไปเอามาจากโรงครัวคือใคร   พวกเราต้องสืบเอาไว้ว่าในกลุ่มเรามีใครที่เป็นญาติกับเจ้าภาพบ้างจะต้องมอบหมายเอาไว้ว่าต้องเอามาให้พอ  จะต้องเอามาให้ได้    และจะต้องไม่ถูกด่าหรือนินทาตอนงานเลิก  เพราะเรื่องนี้ถ้าเข้าหูคุณแม่เมื่อไหร่โดนเฆี่ยนสถานเดียวไม่มีข้อยกเว้น   เพราะพ่อแม่ทุกคนสอนอยู่ตลอดว่าอย่าไปยุ่ง   หรือไปกินของในงาน   เพราะเขาทำไว้เลี้ยงแขกเลี้ยงพระไปเบียนของเขาจะเป็นบาป